งานเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 10 - Northern Agri CMU Expo 2022
26-09-2022

เพิ่มอำนาจการต่อรองราคาและช่องทางการตลาด ด้วยมาตรฐานผักผลไม้

GAP

เรื่อง / ภาพ : ศูนย์บริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มช.

คณะเกษตรศาสตร์ มช. เปิดหลักสูตรอบรมวิชาชีพระยะสั้น “การผลิตพืชผักตามมาตรฐาน GAP/อินทรีย์” ในงานเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 10 เพื่อสร้างโอกาสในการขายผลผลิตแก่เกษตรกร

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา สภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยไม่ค่อยดีนัก และดันถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด – 19 ทำให้ช่วงหลังสินค้าทางการเกษตรก็ได้รับผลกระทบ เนื่องจากส่งออกไม่ได้ ราคาสินค้าต่ำ ส่งผลกระทบโดยตรงกับเกษตรกร โดยการสร้างมาตรฐานในการผลิตผัก ผลไม้ เป็นวิธีการที่เกษตรกรจะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและมีอำนาจในการต่อรองราคาสินค้าได้

มาตรฐานผัก ผลไม้ที่รับรองจากหน่วยงานราชการ

นายธีระพงศ์ ทาหล้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่า มาตรฐานที่รับรองจากหน่วยงานราชการปัจจุบันมี 2 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic Thailand) และมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) โดยทั้ง 2 มาตรฐานนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

GAP
นายธีระพงศ์ ทาหล้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่

มาตรฐาน Organic Thailand และ GAP ต่างกันอย่างไร

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic Thailand) เป็นการทำการเกษตรด้วยกรรมวิธีทางธรรมชาติ หัวใจของเกษตรอินทรีย์ คือ เน้นกระบวนการรักษาสิ่งแวดล้อม ห้ามใช้สารเคมี หรือสารสังเคราะห์ในทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในการผลิต ปุ๋ย หรือเมล็ดพันธุ์

การปลูกพืชผักอินทรีย์ถือว่าทำค่อนข้างลำบาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันทำให้โรคและแมลงเกิดการวิวัฒนาการ และการปรับตัวเพื่อให้สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ ด้วยเหตุนี้อาจทำให้การบริหารจัดการโรคพืชโดยปลอดสารเคมีเป็นเรื่องยากกว่าในอดีต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีวิธีการที่สามารถป้องกันได้ เช่น การปลูกผักในโรงเรือนเพื่อป้องกันผักจากความชื้นในฤดูฝน การใช้มุ้งตาข่ายเพื่อป้องกันการเข้าทำลายของแมลง และการใช้สารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดแมลงและโรคพืช เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี

GAP
ต้นกล้าสลัดกรีนคอสที่ผลิตแบบอินทรีย์

ส่วนมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) คือการทำการเกษตรที่เหมาะสม เกษตรกรสามารถใช้สารเคมี หรือสารสังเคราะห์ในการกำจัดโรคพืช หรือแมลงศัตรูพืชได้ แต่ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในผลผลิตที่จะจัดจำหน่าย หัวใจของมาตรฐาน GAP คือ เกษตรกรต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการเลือกใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและเหมาะสม

GAP
สินค้าทางการเกษตรที่ได้รับมาตรฐาน GAP

เกษตรกรที่มีความรู้ในการใช้สารเคมีทางการเกษตร และกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชจะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย โดยเริ่มจากเกษตรต้องมั่นตรวจสอบแปลงว่าระยะไหนของพืชที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร เพื่อจะใส่ปุ๋ยเคมีได้ถูกต้องตามระยะการเจริญเติบโต ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลง อีกทั้งหากมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องของการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลง จะสามารถเลือกใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชได้อย่างเหมาะสมประหยัดต้นทุนในการผลิต และส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

สารเคมีบางชนิดผสมกันได้ บางชนิดผสมกันไม่ได้ เพราะจะเกิดผลเสียตามมาโดยตรง และอาจก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของสารเคมี ทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดโรคและแมลงลดลง ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น

นายธีระพงศ์กล่าว

ขั้นตอนการขอมาตรฐาน GAP

นายธีระพงศ์ แนะนำว่า ขั้นต้นเกษตรกรควรเข้าใจเรื่องมาตรฐาน และศึกษาข้อกำหนด เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การขอมาตรฐาน โดยเกษตรกรสามารถติดต่อสอบถามสำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอ เพื่อขอคำแนะนำในการขอมาตรฐานได้

ข้อกำหนดที่เกษตรกรต้องทำให้ครบตามเงื่อนไขมี 8 ประการ ได้แก่ น้ำและพื้นที่ปลูกที่ใช้ในกระบวนการผลิตต้องมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนต่อผลผลิต สิ่งที่น่ากังวล คือ การปนเปื้อนของโลหะหนัก และเชื้อโรคจากแปลงเกษตรที่อยู่ใกล้พื้นที่โรงงาน โรงพยาบาล หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องส่งตัวอย่างน้ำและดินไปตรวจสอบหาสารปนเปื้อนด้วย อีกทั้งวัตถุอันตรายทางการเกษตรต้องจัดเก็บในสถานที่ที่มิดชิดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร มีแผนควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการใช้หลักการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี เก็บเกี่ยวพืชที่มีอายุเหมาะสม ผลผลิตมีคุณภาพตามความต้องการของตลาด รวมทั้งการขนย้ายและการเก็บรักษาผลผลิตต้องมีสุขลักษณะ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน โดยผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสุขลักษณะส่วนบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง และมีการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่างในแปลงปลูก เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับเมื่อเกิดปัญหา

ประโยชน์ของมาตรฐาน

เมื่อเกษตรกรได้รับมาตรฐานทางการเกษตรที่ออกจากหน่วยงานรัฐจะเพิ่มความเชื่อมั่นในผลผลิต ให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อใจ เชื่อมั่น และที่สำคัญช่วยให้เกษตรกรมีอำนาจในการต่อรองราคาสินค้าให้สูงขึ้นกว่าราคาตามท้องตลาด นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เนื่องจากมีผลไม้กว่า 12 ชนิดที่ต้องใช้มาตรฐาน GAP ในการส่งออก อาทิ กล้วย มังคุด ทุเรียน ขนุน มะพร้าว ลำไย มะม่วง สับปะรด มะขาม ส้มโอ เงาะและลิ้นจี่

GAP
สินค้าทางการเกษตรที่ได้รับมาตรฐาน GAP

นอกจากนี้ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีหน่วยงานที่ให้บริการเกษตรกรในการทำมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร คือ หน่วย Agtrace (Agricultural Product Traceability Unit) โดยมีระบบให้เกษตรกรสามารถบันทึกกระบวนการผลิตต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อให้ผู้บริโภครู้ต้นทางและกระบวนการในการผลิตสินค้าชนิดนั้น ๆ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่น และมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคได้มาก

GAP
สินค้าทางการเกษตรที่ได้รับมาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับ (AGtrace) จากคณะเกษตรศาสตร์ มช.

อย่างไรก็ตาม แม้การขอมาตรฐานต่าง ๆ จากภาครัฐจะเป็นเรื่องที่ยาก มีขั้นตอนที่เยอะ แต่เชื่อว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาหลังจากได้รับมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสร้างมาตรฐานสินค้าทางการเกษตรให้กับผลผลิตทางการเกษตร สามารถเข้าร่วมการอบรมวิชาชีพระยะสั้น ในงานเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 10 หลักสูตร “การผลิตพืชผักตามมาตรฐาน GAP / อินทรีย์” ในวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์วิจัย สาธิต และฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ที่ https://forms.gle/JqJfPNSf5kxex6zq7 หรือดูรายละเอียดหลักสูตรอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ งานเกษตรภาคเหนือครั้งที่ 10 https://www.facebook.com/northernagricmuexpo

GAP